&lt;p&gt;&lt;strong&gt;6. ตรวจอาการผิดปกติ&lt;/strong&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;นอกจากการตรวจร่างกายและตรวจภายในหลังคลอดแล้ว หมอจะตรวจโรคที่เป็นในระหว่างการตั้งครรภ์ด้วยว่าหายเป็นปกติแล้วหรือยัง (เพราะบางโรคจะเป็นเฉพาะตอนตั้งครรภ์ เมื่อหลังคลอดเสร็จร่างกายจะกลับเข้าสู่สภาพปกติ) รวมถึงโรคประจำตัวที่มีอยู่ก่อนตั้งครรภ์ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หมอก็จะตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้ให้ด้วยเช่นกัน&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;ul&gt;
&lt;li&gt;&lt;strong&gt;เบาหวานขณะตั้งครรภ์&lt;/strong&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;อาการเบาหวานที่พบในช่วงตั้งครรภ์จะมีอยู่ 2 กรณี คือ คุณแม่เป็นโรคเบาหวานอยู่ก่อนตั้งครรภ์ หรือเพิ่งมาเป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเบาหวานในขณะตั้งครรภ์นี้มักจะพบในคุณแม่ที่อ้วนมาก น้ำหนักตัวขึ้นเร็ว มีไขมันมาก จึงทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง แต่เมื่อคลอดแล้วระดับน้ำตาลในเลือดจะกลับคืนสู่ระดับปกติ หมอก็จะเช็กดูว่าระดับน้ำตาลในเลือดลงมาอยู่ในระดับปกติต่ำกว่า 140 มิลลิกรัมต่อ 100 ซี.ซี. แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ลงก็อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณแม่เป็นเบาหวาน แต่ก่อนการตรวจเบาหวานนี้ คุณแม่ควรกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และในวันนัดตรวจก็ต้องงดอาหาร ซึ่งในการตรวจหมอจะเจาะเลือดมาตรวจระดับน้ำตาลในเลือด 4 ครั้ง หากงดมาก่อนก็จะสามารถตรวจระดับน้ำตาลได้เลย แต่ถ้าไม่งด หมอก็จะนัดให้มาตรวจทีหลังครับ&lt;/span&gt;&lt;/li&gt;
&lt;li&gt;&lt;strong&gt;ครรภ์เป็นพิษ&lt;/strong&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ คือคุณแม่จะมีความดันโลหิตสูง มีไข่ขาวในปัสสาวะ บวม แต่อาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 2-4 สัปดาห์หลังคลอด (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ) ดังนั้น หากยังมีอาการครรภ์เป็นพิษอยู่ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอด หมอจะนัดตรวจเพื่อดูความดันโลหิตว่าสูงอยู่หรือมีไข่ขาวในปัสสาวะหรือไม่ รวมไปถึงตรวจการทำงานของไต เพราะภาวะครรภ์เป็นพิษนี้จะทำให้ไตทำงานได้ไม่ดี ปล่อยให้ไข่ขาวหลุดมาในปัสสาวะได้ และถ้าตรวจพบว่ายังมีไข่ขาวในปัสสาวะอยู่ก็แสดงว่าอาจมีโรคไตแทรกอยู่ คุณแม่ที่มีภาวะดังกล่าวจึงไม่ควรละเลยการตรวจหลังคลอดครับ&lt;/span&gt;&lt;br /&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;ริดสีดวงทวาร ส่วนใหญ่แล้วอาการริดสีดวงมักจะหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์หลังคลอด แต่ถ้าหลังคลอดแล้วคุณแม่ยังเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ก็อาจจะต้องใช้การผ่าตัดรักษา ดังนั้น หลังคลอดคุณแม่จึงควรฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่ต้องกลัวว่าการถ่ายจะทำให้แผลเย็บเกิดฉีกขาด ทำความสะอาดอวัยวะเพศและทวารหนักให้สะอาด เน้นการรับประทานผักและผลไม้สดที่มีกากใยสูงและหมั่นเดินบ่อย ๆ เพื่อช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น&lt;/span&gt;&lt;/li&gt;
&lt;li&gt;&lt;strong&gt;อาการไข้และการขับถ่าย&lt;/strong&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;ในระยะแรกหลังคลอดถ้าคุณแม่มีอาการไข้สูง เป็นหวัด แผลอักเสบ หรือปวดท้องควรรีบบอกหมอทันที เพราะอาจมีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ หรือหากมีอาการท้องผูกทำให้ขับถ่ายลำบากและเจ็บแผล หมออาจจะให้กินยาถ่ายด้วย (ต้องงดให้นมลูกในระหว่างการใช้ยาทุกชนิด)&lt;/span&gt;&lt;/li&gt;
&lt;/ul&gt;
&lt;p&gt;&lt;strong&gt;7.ตรวจภาวะจิตใจ&lt;/strong&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;นอกจากร่างกายของคุณแม่หลังคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแล้ว คุณแม่มักจะกังวลกับการเลี้ยงลูก ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลง เกิดความเครียด จนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ คุณหมอก็จะสังเกตอาการและพูดคุยเพื่อปรับทัศนคติของคุณแม่ ด้วยการถามไถ่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน ว่าคุณแม่เลี้ยงลูกอย่างไร มีปัญหาไม่สบายใจตรงไหน มีใครช่วยเลี้ยงหรือไม่ หากคุณแม่มีปัญหา หมอก็จะได้ช่วยหาทางวางแผนแก้ไขต่อไป&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;h3&gt;&lt;span id=&quot;การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก&quot;&gt;การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก&lt;/span&gt;&lt;/h3&gt;
&lt;p&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้ในบ่อยในสตรีไทย ผู้ที่เริ่มเป็นมักจะไม่มีอาการใด ๆ จนกว่าจะเป็นมากจนเกิดอาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดออกผิดปกติ หรือมีเลือดออกภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าเป็นระยะสุดท้ายที่มะเร็งลุกลามแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีครับที่ในปัจจุบันเราสามารถตรวจและสืบค้นได้ตั้งแต่เซลล์เริ่มผิดปกติ เพราะปากมดลูกจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถตรวจได้ง่ายกว่าอวัยวะอื่น ประกอบกับการดำเนินโรคจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเป็นถึงขั้นลุกลาม จึงทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;p&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก จะกระทำได้โดยวิธีที่เรียกว่า &quot;&lt;strong&gt;แปปสเมียร์&lt;/strong&gt;&quot; (Pap smear) ที่สามารถทำได้ในระหว่างการตรวจภายในที่ห้องตรวจ ซึ่งแพทย์จะใช้เวลาเพียง 1 นาทีในการเก็บตัวอย่างเซลล์เยื่อบุผิวปากมดลูกแล้วป้ายลงบนแผ่นสไลด์แก้ว หรือเก็บใส่ขวดพิเศษ ซึ่งจะส่งไปห้องปฏิบัติการย้อมสี แล้วให้พยาธิแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจผ่านทางกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูว่ามีเซลล์ผิดปกติหรือไม่&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;p&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;คุณแม่หลังคลอดหรือผู้แท้งบุตรทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยปกติแล้วผู้หญิงควรได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งในการตรวจหลังคลอดนี้หมอจะตรวจมะเร็งปากมดลูกให้ด้วย และหลังจากนั้นควรตรวจเป็นประจำทุก ๆ 1-3 ปี ในกรณีที่พบความผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้มาตรวจซ้ำหรือตรวจถี่ขึ้นตามความเหมาะสม&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;p&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;สำหรับผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกนั้น โดยปกติแล้วจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์จึงจะทราบผล ซึ่งหมอจะนัดให้ไปพบเพื่อฟังผลหรือให้โทรศัพท์ถาม (บางแห่งก็มีบริการส่งผลการตรวจมะเร็งมาให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง) เพื่อฟังผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างเดียว&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;h3&gt;&lt;span id=&quot;การคุมกำเนิดหลังคลอด&quot;&gt;การคุมกำเนิดหลังคลอด&lt;/span&gt;&lt;/h3&gt;
&lt;p&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;เมื่อเลือกวิธีการคุมกำเนิดได้แล้ว คุณแม่ที่ตัดสินใจคุมกำเนิดโดยเว็บไซต์เมดไทย &lt;span style=&quot;color: #3366ff;&quot;&gt;การใส่ห่วงอนามัย&lt;/span&gt;&amp;nbsp;ก่อนตรวจเสร็จหมอจะใส่ห่วงอนามัยให้เลย ส่วนคุณแม่ที่จะใช้&lt;span style=&quot;color: #3366ff;&quot;&gt;ยาฝังคุมกำเนิด&lt;/span&gt;หรือ&lt;span style=&quot;color: #3366ff;&quot;&gt;ฉีดยาคุมกำเนิด&lt;/span&gt;หมอก็จะทำให้ แล้วนัดมาตรวจเพื่อติดตามผลต่อไป ส่วนคุณแม่ที่ต้องการใช้&lt;span style=&quot;color: #3366ff;&quot;&gt;ยาเม็ดคุมกำเนิด&lt;/span&gt;และไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หมอก็จะจ่ายยาเม็ดคุมกำเนิดให้เลย&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;p&gt;&lt;span style=&quot;color: #99ccff;&quot;&gt;สำหรับคุณแม่ที่ยังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป หมอจะเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเพียงอย่างเดียวให้ เพื่อมิให้มีผลต่อการหลั่งน้ำนมของคุณแม่ (โปรเจสโตเจนจะไม่ยับยั้งการหลั่งน้ำนมและไม่ทำให้คุณภาพของน้ำนมเสื่อมลงเหมือนยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม) หรืออาจจะแนะนำให้คุณแม่คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ ไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่ลูกหย่านมแล้วจึงค่อยให้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่ใช้กันทั่วไป สำหรับรายละเอียดเรื่องการคุมกำเนิดคุณแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ&lt;/span&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #3366ff;&quot;&gt;การคุมกำเนิด&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;
&lt;p&gt;&lt;strong&gt;สรุป&lt;/strong&gt;&amp;nbsp;&lt;span style=&quot;color: #ff99cc;&quot;&gt;จะเห็นได้ว่า การกลับไปตรวจร่างกายหลังคลอดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อถึงเวลานัดคุณแม่ควรกลับไปตรวจที่โรงพยาบาลที่คุณแม่คลอด แต่ถ้าไม่สามารถไปตรวจที่โรงพยาบาลเดิมได้ คุณแม่อาจจะไปตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้านก็ได้&amp;nbsp;ในขณะเดียวกันคุณแม่ต้องพาลูกไปให้กุมารแพทย์ตรวจสุขภาพทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อลูกอายุได้ประมาณ 1 เดือน โดยคุณหมอจะชั่งน้ำหนัก วัดศีรษะ วัดรอบอก และความยาวของลำตัว รวมทั้งตรวจปาก ตา หู คอ และจมูกว่าเป็นปกติดีหรือไม่ ตรวจการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ตั้งแต่ลูกอายุ 1 เดือนเป็นต้นไป พร้อมจดบันทึกลงสมุดบันทึกสุขภาพประจำตัวของลูก&lt;/span&gt;&lt;/p&gt;

การตรวจหลังคลอด...สำคัญและมีขั้นตอนอย่างไร ??

การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด

ยาคุมฉุกเฉิน

ตรวจสุขภาพทางเพศและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ตรวจสุขภาพประจำปี

รับยาต้านรักษาเอชไอวี

การดูแลตัวเองหลังคลอดธรรมชาติ

การมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด

HPV Series มะเร็งปากมดลูกไม่น่ากลัว ถ้าฉีดวัคซีน

HPV Series มะเร็งคอหอย~ มะรอยคอเห็ง~

การตรวจหลังคลอด...สำคัญและมีขั้นตอนอย่างไร ??

WHAT ELSE DO YOU NEED TO KNOW

RELATED SERVICES